1. บริษัทจำกัด (Limited Company)
เป็นรูปแบบที่มีผู้นิยมจดทะเบียนนิติบุคคลมากที่สุด โดยเงื่อนไขสำหรับผู้ที่ต้องการจดทะเบียนนิติบุคคล “บริษัทจำกัด” คือ
– ต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป (กฎหมายใหม่ มีผลบังใช้วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566)
– แบ่งทุนออกเป็นหุ้นละเท่าๆ กัน หุ้นจะต้องมีราคาไม่น้อยกว่าหุ้นละ 5 บาท ต่อ 1 หุ้น หรือรวมแล้วทุนขั้นต่ำ 10 บาท
– ผู้ถือหุ้นทุกคนจะรับผิดชอบในหนี้สินกิจการ เฉพาะในส่วนที่ต้องชำระเงินทุนตามค่าหุ้นที่ได้จดทะเบียนไว้เท่านั้น หากชำระครบแล้ว ผู้ถือหุ้นไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้นในกิจการอีก
– บริหารงานโดยคณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้ง
2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership)
เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการจดทะเบียนนิติบุคคล โดยเงื่อนไขสำหรับผู้ที่ต้องการจดทะเบียนนิติบุคคลแบบ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” คือ
– ต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
– ไม่มีกำหนดทุนขั้นต่ำ
– ผู้ถือหุ้นมี 2 แบบคือ
1) “จำกัด” ความรับผิด คือ รับผิดชอบตามเงินลงทุนของตนเอง แต่จะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในกิจการ มีสิทธิ์เพียงสอบถามการดำเนินงานของกิจการได้
2) “ไม่จำกัด” ความรับผิด คือ รับผิดชอบหนี้สินทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากกิจการ โดยมีสิทธิ์ตัดสินใจต่างๆ ในกิจการได้อย่างเต็มที่ (หุ้นส่วนผู้จัดการจะต้องเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด)
3. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (Registered Ordinary Partnership) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน จัดอยู่ในรูปแบบบุคคลธรรมดา
2) ห้างหุ้นส่วนสามัญแบบจดทะเบียน เรียกว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
โดยเงื่อนไขสำหรับผู้ที่ต้องการจดทะเบียนนิติบุคคลแบบ “ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล” คือ
– ไม่มีกำหนดทุนขั้นต่ำ
– ต้องร่วมกันรับผิดชอบหนี้สินของกิจการอย่างไม่จำกัด แต่หุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิ์จัดการกับกิจการ และแบ่งปันกำไรจากกิจการได้
ความแตกต่างระหว่าง “บริษัทจำกัด – ห้างหุ้นส่วนจำกัด – ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล”
ความรับผิดชอบด้านบัญชี-ภาษี เมื่อจดทะเบียนนิติบุคคลในส่วนของการดำเนินกิจการตามกฎหมาย หลังจากจดทะเบียนนิติบุคคลแล้ว สำหรับ “บริษัทจำกัด – ห้างหุ้นส่วนจำกัด – ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล” จะเหมือนกัน คือ
– จัดทำบัญชีรายเดือน ปิดงบการเงิน
– จัดหาบริการรับตรวจสอบงบการเงิน โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ที่เป็นอิสระไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการ
– ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้าหากกิจการมีการจด VAT ไว้ จะต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือน แม้เดือนนั้นๆ ไม่มีรายการการค้าก็ตาม
– ยื่นภาษีหัก ณ ที่จ่าย นำส่งสรรพากรภายในวันที่ 7 ของทุกเดือน (แต่ถ้าหากไม่มีการหัก ณ ที่จ่าย ก็ไม่จำเป็นต้องยื่น)
– ยื่นภาษีนิติบุคคลทั้งแบบครึ่งปีและสิ้นปี โดยเสียอัตราภาษีสูงสุด 20% เท่ากันทั้ง 3 แบบ
– ยื่นประกันสังคม เมื่อกิจการได้ขึ้นทะเบียนนายจ้าง และมีพนักงานประจำ ด้วยแบบ สปส.1-10 ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน
– ยื่นส่งงบการเงิน ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
จดทะเบียนนิติบุคคลมีดีอย่างไร
1. เพิ่มความน่าเชื่อถือ
– ลูกค้า คู่ค้า สถาบันการเงิน จะมองว่า “ธุรกิจคุณเป็นทางการ”
– จด VAT / ออกใบกำกับภาษี / ทำสัญญาธุรกิจได้สะดวก
2. แยกทรัพย์สินและความรับผิดชอบ
– ทรัพย์สินของบริษัท ≠ ทรัพย์สินส่วนตัว
– หากเกิดหนี้สินหรือปัญหาทางกฎหมาย จะจำกัดความรับผิดในกรอบของทุนจดทะเบียน
3. สามารถขยายธุรกิจได้ง่าย
– เพิ่มทุน จัดการหุ้น รับพาร์ทเนอร์ใหม่ หรือขายธุรกิจบางส่วนก็ทำได้ง่ายขึ้น
4. มีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน
– ยื่นกู้กับธนาคารหรือระดมทุนกับนักลงทุนได้ง่ายกว่าบุคคลธรรมดา
– มีเครดิตในระบบมากขึ้น
5. ประโยชน์ทางภาษี
– เสียภาษีแบบ “นิติบุคคล” อัตราคงที่ (ปัจจุบัน 20%)
– สามารถหักค่าใช้จ่ายได้มากกว่า เช่น ค่าจ้าง ค่าสวัสดิการ ค่าเดินทาง ฯลฯ
– ใช้สิทธิลดหย่อน/ส่งเสริมการลงทุนบางประเภทได้
6. สามารถจ้างพนักงาน/ทำบัญชีถูกต้อง
– ทำประกันสังคม จ่ายเงินเดือนอย่างเป็นทางการ
– บริษัทบัญชีสามารถเข้ามาช่วยดูแลภาษีและการเงินได้อย่างมืออาชีพ